พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแด่พสกนิกรไทยมากกว่า
25 ปี
ซึ่งวัตถุประสงค์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่าน ก็เพื่อนำพาประชาชนซึ่งเป็นพสกนิกรของพระองค์ท่านให้มีการใช้ชีวิตที่มั่นคงยั่งยืน
สามารถอยู่อย่างมีความสุขภายใต้กระแสทุนนิยมและวัตถุนิยม
ที่ครอบคลุมโลกและประเทศไทยของเราอย่างเข้มข้นในปัจจุบัน
หลักการสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นจะฟื้นฟูความสมดุลในการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคมไทยให้กลับคืนมา
ซึ่งเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการที่ผู้คนในสังคมไทยใช้ชีวิตตามกระแสที่ครอบงำตามแนวคิดทฤษฎีของตะวันตก
ที่มีบริบทสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่แตกต่างกับประเทศของเราโดยสิ้นเชิง
จึงทำให้วิถีชีวิตของผู้คนในสังคมไทยเปลี่ยนแปลงเป็นลำดับมา
ส่งผลให้แม้แต่สังคมในชุมชนตำบลหมู่บ้านของไทยในปัจจุบัน
ได้เปลี่ยนไปอย่างมากจนบางแห่งเกือบไม่หลงเหลือรากเหง้าดั้งเดิมของความเป็นไทย และสิ่งที่พบเห็นชัดเจนคือผู้คนในสังคมไทยของเรามีลักษณะบริโภคนิยมวัตถุนิยมและ
“เห็นแก่ตัว” มากขึ้น ซึ่งความเห็นแก่ตัวดังกล่าวคือเชื้อร้ายของสังคม
ที่นำมาซึ่งวิกฤตในทุกด้านของสังคม ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม
หรือแม้แต่การศึกษาซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาทุกด้านของสังคม
ก็ล้วนเกิดจากปัญหาของการเห็นแก่ตัวที่มากขึ้นของผู้คนในสังคมทั้งสิ้น
ดังที่ทราบกันดีว่าสังคมไทยในอดีตเป็นสังคมเกษตร มีการปลูกพืชเพื่อกินเพื่อใช้ในครอบครัวดังคำกล่าวที่ว่าผู้คนจะ
“ปลูกทุกอย่างที่กินและกินทุกอย่างที่ปลูก”
และในด้านสถาบันครอบครัวซึ่งเป็นสถาบันหลักและเป็นพื้นฐานของทุกสังคม จะพบว่าครอบครัวคนไทยในอดีตจะมีลักษณะครอบครัวใหญ่ซึ่งประกอบด้วยพ่อแม่ลูกพี่น้องและญาติผู้ใหญ่อยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น และพบอยู่เสมอว่าผู้คนในหมู่บ้านเกือบทุกหมู่บ้านแม้ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องตามสายเลือดแต่ก็ยังนับกันเป็นญาติ โดยมีการเรียกกันเป็น พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา พี่
น้องกันทั้งหมู่บ้าน
จุดเด่นอีกอย่างของสังคมในอดีตของเราคือการให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับ
“ระบบอาวุโส”
ผู้อาวุโสของแต่ละครอบครัวและของหมู่บ้านจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทุกคนให้การนับถือและให้เกียรติอย่างมาก และระบบอาวุโสนี่เองที่จะคอยทำหน้าที่สืบทอดสิ่งที่ถูกต้องดีงามและระบบคุณธรรมของสังคม
ทำให้สังคมไทยในอดีตอยู่ด้วยกันอย่างสุขสงบตลอดมา
และสิ่งสำคัญที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างสังคมไทยในอดีตและสังคมของตะวันตก คือการแบ่งปันช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกัน
ในอดีตผู้คนในชุมชนตำบลหมู่บ้านของเราจะพบเห็นทั่วไปว่าจะมีการช่วยเหลือเจือจานแบ่งกันกินแบ่งกันใช้แบบพี่แบบน้อง คนที่แข็งแรงและมีโอกาสมากกว่าจะช่วยเหลือดูแลผู้ที่อ่อนแอและด้อยโอกาสกว่า ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าสิ่งนี้คือจุดแข็งสำคัญที่ทำให้คนไทยในอดีตแตกต่างอย่างมากจากคนในสังคมตะวันตก การแบ่งปันช่วยเหลือเอื้ออาทรผู้ด้อยโอกาสหรืออ่อนแอกว่าของผู้คนในอดีต จะพบว่าผู้ที่ช่วยเหลือผู้อื่นมิได้มุ่งหวังอะไรเป็นการตอบแทน นอกจากสิ่งที่เชื่อกันตามหลักในพุทธศาสนาของเราว่าเป็น
“บุญ”
การแบ่งปันช่วยเหลือเอื้ออาทรในอดีตจึงเป็นการกระทำให้แก่กันด้วยความจริงใจ ซึ่งแตกต่างจากในปัจจุบันที่หากช่วยเหลือแก่ใครมักจะหวังสิ่งผลตอบแทนด้วยเสมอ และบางครั้งยังต้องการสิ่งตอบแทนที่มากกว่าการให้เสียอีกก็มี
(ค้ากำไรเกินควร) ผู้เขียนเชื่อว่าการช่วยเหลืออย่างจริงใจดังกล่าวคือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้คนของสังคมไทยในอดีตมีความรักใคร่สมัครสมานสามัคคีกันอย่างแท้จริง
จึงเห็นได้ว่าในอดีตการแบ่งปันช่วยเหลือเอื้ออาทรซึ่งให้แก่กันของผู้คนในสังคม
จะเป็นการช่วยเหลือเอื้ออาทรกันด้วยความจริงใจ
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าสิ่งนี้คือทุนทางวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างมากของสังคมไทยในอดีต และผู้เขียนขอเรียกทุนทางวัฒนธรรมของสังคมไทยในอดีตนี้ว่า "วัฒนธรรมการแบ่งบัน" (ด้วยความจริงใจ) วัฒนธรรมการแบ่งบัน(ด้วยความจริงใจ)นี้ทำให้ผู้คนในสังคมทุกระดับ
ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน ตำบล หมู่บ้าน
ในอำเภอ ในจังหวัด ในประเทศ มีความรักใคร่สามัคคีกันอย่างแท้จริง
เพราะไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ทำให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีของผู้คนในสังคม
ทำให้ผู้คนในสังคมอยู่ร่วมด้วยกันด้วยความสงบสุข ซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธว่าความสามัคคีจะทำให้ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จึงเห็นได้ชัดเจนว่า ในอดีตแม้หมู่บ้านต่างๆจะไม่มีถนนคอนกรีต
ประปา ไฟฟ้า ดังเช่นปัจจุบัน แต่ผู้คนก็มีความสุขกว่าปัจจุบัน
วัฒนธรรมการแบ่งบัน(ด้วยความจริงใจ)จึงเป็นทุนทางวัฒนธรรมและเป็นระบบสร้างสมดุลอย่างแท้จริงให้แก่สังคมของเรา เป็นสิ่งที่สร้างให้เกิดความรักความสามัคคี
และความสุขสงบ แก่ผู้คนในสังคมไทยในอดีตตลอดมา
แต่หากเรากลับมาพิจารณาสังคมไทยในยุคนี้พ.ศ.นี้ก็จะพบว่า
ปัจจุบันผู้คนในชุมชน ตำบล หมู่บ้าน อำเภอ ในจังหวัด และประเทศของเราขาดความสามัคคีอย่างมาก เกิดการแตกแยกของผู้คนไปทั่วทุกหัวระแหง
ซึ่งหากจะวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุจริงๆแล้วก็จะพบว่า
สาเหตุอันเป็นรากเหง้าที่ทำให้เกิดวิกฤตการณ์เช่นนี้เป็นเพราะการ
“เห็นแก่ตัว” ผู้คนในสังคมปัจจุบันมีการเห็นแก่ตัวมากขึ้น
ตัวใครตัวมันมากขึ้น แก่งแย่งชิงดีกันมากขึ้น มีการแบ่งปั่นกันน้อยลง
ใช่หรือไม? ดังนั้นหากมองในมิติทางวัฒนธรรมแล้วจะพบว่าสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้สังคมไทยในปัจจุบันแตกแยกอย่างรุนแรง เป็นเพราะในปัจจุบันวัฒนธรรมการแบ่งบัน (ด้วยความจริงใจ) ซึ่งเป็นจุดแข็งทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของสังคมไทยได้ศูนย์หายไป ซึ่งวัฒนธรรมที่หายไปส่งผลทำให้ระบบความสมดุลที่มีอยู่เดิมในสังคมไทยศูนย์เสียไปด้วย และสิ่งใหม่ที่มาแทนวัฒนธรรมดีงามดั้งเดิมก็คือ
“การแย่งชิง” ซึ่งใครจะเรียกการแย่งชิงว่าเป็นวัฒนธรรมหรือไม่ก็ตาม
แต่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นวัฒนธรรม และขอเรียกมันว่า “วัฒนธรรมการแย่งชิง”
ซึ่งวัฒนธรรมการแย่งชิงที่เกิดขึ้นใหม่จะทำให้ระบบสังคมเสียสมดุล
เพราะเมื่อแย่งชิงก็ทำให้คนที่แข็งแรงกว่ามีโอกาสมากกว่า (รวมถึงขี้โกงกว่า)
สามารถกอบโกยทรัพยากรต่างๆของสังคมจนเกิดการกระจุกตัวอย่างไม่เป็นธรรม
ทำให้ระบบสมดุลที่เคยมีอยู่ในสังคมไทยค่อยๆศูนย์เสียไปเป็นลำดับ และสิ่งที่ตามมาคือความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้นๆเป็นลำดับของผู้คนในสังคม
ดังนั้นเหตุผลที่ทำให้ระบบสมดุลของสังคมเสียไปจึงเกิดขึ้นก็เพราะ
วัฒนธรรมการแบ่งบัน (ด้วยความจริงใจ) ในอดีตได้ศูนย์หายไป อันเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากสังคมไทยถูกครอบงำและถูกจู่โจมอย่างรุนแรงจากกระแสของปรัชญาแบบทุนนิยมแบบไร้ภูมิคุ้มกัน ซึ่งปรัชญาของตะวันตกเป็นปรัชญา “ทุนนิยม” มีหลักการที่ให้ความสำคัญไปยังปัจเจกบุคลหรือที่เรียกกันว่า
“ปัจเจกชนนิยม” ปรัชญานี้มีพื้นฐานความเชื่อว่า
“ผู้ชนะเท่านั้น จึงจะสามารถอยู่รอดและเป็นที่ยอมรับในสังคม” ดังนั้นปรัชญากลุ่มนี้จึงทำให้เกิดการกระทำแบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ปรัชญากลุ่มนี้ จะมีค่านิยมด้านวัตถุเป็นหลัก จึงทำให้เกิดมนุษย์แบบ “บริโภคนิยม” และ
“วัตถุนิยม” มนุษย์ในโลกทุนนิยมจะให้ความสำคัญทางจิตน้อย จึงทำให้มนุษย์แบบทุนนิยม เห็นแก่ตัว
ใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง
การที่เราถูกครอบงำและจู่โจมด้วยปรัชญาแบบทุนนิยมแบบไร้ภูมิคุ้มกัน จึงทำให้เกิดสิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็น
“วัฒนธรรมใหม่ในสังคมไทย” คือ “วัฒนธรรมการแย่งชิง” เข้ามาแทนที่วัฒนธรรมการแบ่งบัน (ด้วยความจริงใจ) ซึ่งเป็นทุนทางวัฒนธรรมอันดีงามของเรา
วัฒนธรรมการแย่งชิงที่เข้ามาจะเป็นการแย่งชิงกันทุกเรื่อง “แบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา” หรือ “กอบโกย” ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดความขัดแย้งในทุกด้าน
ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ฯลฯ (แย่งชิงเรื่องอะไรก็ขัดแย้งในเรื่องนั้น)
ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวย่อมทำให้เกิดการแตกความความสามัคคีในทุกระดับดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
และในฐานะที่ผู้เขียนพอจะมีความรู้ในศาสตร์ทางด้านวัฒนธรรมอยู่บ้าง
จึงได้พยายามคิดหาแนวทางที่จะฟื้นฟู “วัฒนธรรมการแบ่งบัน” (ด้วยความจริงใจ) ให้กลับคืนมา
แม้จะอยู่ท่ามกลางกระแสของทุนนิยมอันเชี่ยวกรากในปัจจุบันก็ตาม ซึ่งหนึ่งในหลายแนวทางที่ผู้เขียนคิดว่าน่าจะช่วยฟื้นฟูวัฒนธรรมดังกล่าวให้กลับคืนมา
คือการ “กินเข่าค่ำจับเข่าคุยกัน” คำว่า “กินเข่าค่ำจับเข่าคุยกัน” เป็นภาษาโคราช
หมายถึงการกินข้าวเย็นร่วมกันและนั่งจับเข่าคุยกัน โดยมีวิธีการง่ายๆ คือ
ผู้คนในแต่ละหมู่บ้านควรนำข้าวปลาอาหารมากินด้วยกันแบบพี่แบบน้องแล้วพูดคุยกันดังเช่นในอดีตอย่างน้อยเดือนละครั้ง ผู้เขียนคิดว่าหากมีการทำอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้ระบบสมดุลของสังคมไทยที่ศูนย์เสียไปกลับคืนมา
เพราะเมื่อผู้คนเริ่มมีการแบ่งปันอาหารและพูดคุยกันทุกเดือน ก็จะทำให้ผู้คนมีความเข้าใจกันมากขึ้น มีความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น
มีความเห็นแก่ตัวน้อยลงและทำให้ผู้คน “รู้จักพอ” มากขึ้น
การรู้จักพอจะทำให้ผู้คนคิดถึงผู้อื่นและทำเพื่อผู้อื่นและมีการแบ่งปันกันมากขึ้น
ซึ่งหมายถึงวัฒนธรรมการแบ่งปัน (ด้วยความจริงใจ) อันเป็นจุดแข็งหรือทุนทางวัฒนธรรมที่ดีงามของเรา
ได้ฟื้นกลับคืนมามีบทบาทในการกำหนดพฤติกรรมของผู้คนในสังคมอีกครั้ง ดังนั้นผู้เขียนจึงเชื่อว่าการ “กินเข่าค่ำจับเข่าคุยกัน”
เป็นแนวทางหนึ่งที่จะฟื้นฟูวัฒนธรรมที่ดีงามในอดีตให้กลับคืนมา และผู้เขียนเห็นว่าการ “กินเข่าค่ำจับเข่าคุยกัน” ยังสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ที่มีความต้องการให้ผู้คนในสังคมประเทศไทยมีความเข้มแข็งสามารถพึงตนเองได้
และรู้จักคำว่า “พอเพียง” มีการช่วยเหลือเอื้ออาทรแก่กันเช่นเดิม ซึ่งการรู้จักแบ่งปันช่วยเหลือเอื้ออาทรแก่กันจะส่งผลให้สังคมมีความรักใคร่ความสามัคคี เป็นสังคมที่มีความสงบสุขและเข้มแข็งยั่งยืนอย่างแท้จริงดังเช่นในอดีตนั่นเอง
"ความสามารถพึ่งตนเองโดยยึดมั่นในหลักแห่งคุณธรรม
คือความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนที่แท้จริงของสังคม"
ดร.บุญช่วย พาณิชย์กุล
๖ มกราคม ๒๕๕๖